Sunday 3 June 2007

ฝึกงานกับความงงสุดยอด ก็มาฝึกงานอ่ะน่ะ

Trainee นักศึกษาฝึกงาน
SKY EXITS FILMS PRODUCTION HOUSE เป็นบริษัทถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณา ชั้นนำของเมืองไทย ต้องการรับสมัคร เด็กนักศึกษาฝึกงาน รุ่นใหม่ไฟแรง เพื่อพัฒนาเข้ามาร่วมเป็นทีมงาน ในหลายๆด้าน ดังต่อไปนี้
01. Assistant Director ผู้ช่วยผู้กำกับ เรียนทางภาพยนตร์หรือสาขาที่ใกล้เคียง ช่างเจรจา กล้าแสดงออก ชอบความท้าทาย บุคลิกดี มนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ มีความมั่นใจในตัวเอง มีความสามารถด้านการเขียน พูด และอ่านทั้งภาษาไทยและอังกฤษอย่างดี มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นคนไม่มีโลกส่วนตัว ทำ Call Sheet เป็น
02. Casting and Acting Coach ฝ่ายจัดหานักแสดง ช่างเจรจา กล้าแสดงออก ชอบความท้าทาย บุคลิกดี มนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ มีความมั่นใจในตัวเอง มีความรู้ทางด้านการแสดง สมควรเรียนสาขาที่ตรงกับด้านนี้ เพราะ Sky Exits Films Production ต้องการที่จะรับนักศึกษาฝึกงานมาเพื่อ พัฒนาเป็นทีมงานรุ่นใหม่ไฟแรง อย่างแท้จริง
03. Costume-Wardrobe แผนกเสื้อผ้านักแสดง จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะเรียนด้านนี้แล้วมาฝึกงานกับทางเรา เพราะ Sky Exits Films Production ต้องการที่จะรับนักศึกษาฝึกงานมาเพื่อ พัฒนาเป็นทีมงานรุ่นใหม่ไฟแรง อย่างแท้จริง
04. Art Director and Assist Art Director เรียนสาขาเกี่ยวข้องกับงานศิลปกรรม ใจรักงานศิลปะ สื่อสารเป็นภาษาศิลปะได้เข้าใจ ใช้ Photoshop, illustrator

05. Film Producer and Assistant Film Producer เรียนทางภาพยนตร์หรือสาขาที่ใกล้เคียง
06. Production Coordinator ประสานงานกองถ่าย เรียนทางภาพยนตร์หรือสาขาที่ใกล้เคียง
07. Location Manager and Location Scout Survey ฝ่ายหาโลเคชั่น สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ใช้กล้องภาพนิ่งได้ดี
08. Props Master ฝ่ายหา อุปกรณ์ประกอบฉาก หรือของเข้าฉาก มีความอดทน

09. Cameraman and Assistant Cameraman เรียนทางภาพยนตร์หรือสาขาที่ใกล้เคียง มีความอดทน สามารถทำงานภายใต้สภาวะกดดันได้ดี

10. Film Editor and Assist Film Editor [AVID] เรียนทางภาพยนตร์หรือสาขาที่ใกล้เคียงสามารถใช้โปรแกรม Adobe Premiere และ Photoshop ได้อย่างชำนาญ มีความต้องการที่จะเป็น คนตัดต่อที่ดี
11. Special EFX and Model FX สเปเชี่ยล เอฟเฟ็ค ภาพยนตร์ เรียน ทางวิศวะ คอมพิวเตอร์ ไฟฟ้า หรือเครื่องกล หรือไม่ก็ เรียนทางศิลปกรรม จิตกรรม รักในงานพิสดาร มีความอดทน สามารถทำงานภายใต้สภาวะกดดันได้ดี เข้าใจภาพยนตร์ เป็นอย่างดี รักหนัง มีความละเอียดอ่อน เข้าใจในระบบการทำงานทางด้าน EFX เป็นอย่างดี มีความสามารถทางด้าน Computer

สนใจส่งรายละเอียด การศึกษา งานกิจกรรม สิ่งที่คุณสนใจ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
ความสามารถพิเศษ และส่งประวัติส่วนตัวและประวัติการศึกษา [Super Resume]
ของท่านมาด้วย มากที่สุด เท่าที่ทางเราจะสามารถรู้จักตัวของคุณได้ อย่างรวดเร็วมาที่
trainee.skyexits@gmail.com รับสมัครทาง E Mail เท่านั้น

รายละเอียดและผลงานของทางบริษัทที่
Blog: http://skyexits-showreel.blogspot.com/
Home Page http://www.skyexits.com/
Blog: http://skyexits.blogspot.com/


รายละเอียดการฝึกงานที่
Blog: http://jrsky.blogspot.com/
บริษัทอยู่แถว ลาดพร้าว 88 บางกะปิ กทม ติดต่อคุณปุ้ย
Tel 02-9336470-9
MAP ของบริษัทสกายเอ็กซิทส์ จำกัด


ฝึกงานกับความงงสุดยอด
ก็มาฝึกงานอ่ะน่ะ
เริ่มจาก ตอนนี้ ก็ วิทยาลัย ส่งมา ฝึกงาน เราก็เลยเลือก มาทำที่ กทม แบบว่ามาทำกับลุงเอิ๊ก
ตอนแรกก็นึกว่าจะสบายๆ พระเจ้านี่มันอาไรกัน มันแบบงง มาก มาย
มาฝึกวันแรก ก็ 14 พ.ค. 50
มาวันแรกแบบว่า อาไร หนิงาน มีแต่ เส้นๆ เต็มไปหมดหน้าจอคอมพิวเตอร์ (จอคอมใหญ่มากมาย)
พอนั่งลงได้ วันแรก ก็ดูไรเรื่อยเปื่อยในคอม ที่ประจำตัวเอง ก็นั่งๆไป พอเที่ยง ออกไปกินข้าว
เออลืมบอกไป ที่ทำงานอยู่เมเจอร์ เอกมัย ในซอยเข้ามาลึกมาก
ต้องเดินออกไปกินข้าวหน้าปากซอยไกล ก็ ไกล เหนื่อย ร้อน สุดๆ ทุกอย่าง เลย
แล้วพอ ออกมาก็คิดกินไรดี หันไปหันมา เจอร้าน ข้าว กินนั่นหละ ไม่รู้จาไปไหนแล้ว
พอขากลับเดินกลับ(ที่จิงมีมอไซด์รับจ้างไม่รู้)
เดินเข้าไปลืมอีกว่าตรงไหนบริษัทเดิน มาเรื่อยๆ อ้าวเห้ย ตรงไหนเนี่ย เดินไปจนไม่ไหว โทหาลุงดีกว่า
พอถามก็อ้อ ยังเดินไม่ถึงนี่หว่า มันลึกมากขนากนี้เลยหรอนี่ เข้ามา บ่าย งานก็ตั้งบนโต๊ะเรียบร้อย
แล้วก็มีเพ่คนนึงมา อธิบายงานว่าอาไรมั้ง ก็แบบ งงเดะ ไรวะ สั่งไรหนิ นี่ขนาด ว่าทำพอได้แล้วน่ะเจอแบบนี้ยัง งง เลย
ก็ทำไป ทำไป แบบง่วงมาก เพราะนอนไม่พอ เมื่อคืนแบบรู้สึกท้อใจ ไม่ไหว
18.30 กลับบ้านกับลุง กลับมาถึงกินข้าวยัไม่ค่อยทำไร ก็ต้องนอนและ นอนไวจิง
พอตื่นมาลุงบอกไปไม่ไหวขาบวม เอาแล้วไงกรู ไปไงหละหนิ วันที่ 2 ยังจำไรไม่ได้เลย
ลุงให้ตัง มา 500 บอกนั่งแท๊กซี่ไป ไอ้เราก็จำไม่ได้ว่าตรงไหน แล้วไหนๆก็มาแล้ว
เลยนั่งวินไป รถไฟใต้ดิน หมดไป 100 บาท นั่งรถไฟใต้ดินไป ขึ้น bts
มาถึงลงbts ลงฝั่งไหนก็ไม่รู้จำไม่ได้เลย สรุปแล้วเจอวิน เลยให้เขาขับไปเขารู้จัก แจ่มเลย
มาทำงานก็ทำงานไป พอถึงกลางวัน ไปกินข้าว ดันฝนตกเลยต้องฝากซื้อ สรุปได้กิน 13.30
พอจะจ่ายตังแทบร้อง ข้าวกล่องละ 85 บาท ไปซื้อที่ไหนมานี่พ่อคุณ
ก็กินไปกลับบ้านตอนเย็น ก็กลับแบบ เดิมนั่นหละ นั่งไปนั่งมา เหอๆ
พอกลับมาแบบว่าอยู่นี่ม่ะไหวและย้ายๆ เลยย้ายไปอยุ่อีกที่ ตอน 20.00 ออกจาคอนโดลุง
นั่งแท๊กซี่หมดไป 150 บาท มาถึงที่ ค่อยยังชั่ว แต่รู้สึกตัวหวิวๆ
พอนอน ก็เริ่มสงสัยจะไมสบาย แต่ก็ไม่ได้คิดไร พอเช้านั่นหละไม่ไหวเลย แบบจาอ๊วกแย่ เลยไม่ไปทำงานเลย
โดนลุงด่าแน่ๆ แม่โทมาเลย 3 วัน หยุด ตื่นมา บ่าย ๆ ก็ ok พอหลังจากวันนี้ ทุกอย่างก็เริ่มลงตัว ok มากขึ้น จนอยู่ได้ละ
ได้เงินด้วยจาบอกให้ ชมละ 38 บาท ประมาณน่ะ
วันนึงทำ 9 ชั่วโมงครึ่ง คุณเอาท่าอยากรู้
ตอนนี้ก็ สบาย ๆ แต่ งานก็ ยังเป็น งาน งง และ วุ้ย อะไรหนิ แว๊กก ๆไปละงั้นทำงาน


BallooN`

(เด่วมาปรับแต่งสีตัวหนังสือน่ะอ่านไปก่อน จาทำงานและ)


เรื่องของการฝึกงาน

วันก่อนได้ลองทำรายงานเกี่ยวกับการฝึกงานดู โหเราเนี่ยฝึกงานเกือบๆ 50 วันเลยนะเนี่ยขาดไป 3-4 วันเองสายไปอีก 2 วัน (55+) ในตอนแรกนะคิดว่าที่นี่แหละที่จะสอนให้เราได้ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ อย่าเต็มที่เปล่าเลย(ผิดหวังนิดหน่อย) แต่ก็เป็นที่รวมของบริษัทเล็กๆ หลายบริษัทด้วยกัน เราดีใจนะที่ได้ฝึกงานที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ดี เราเลือกฝึกงานกับบริษัทที่ทำงานทางด้านแสงสว่าง เป็นหลอด LED เพื่อจะได้ทำ interface ก็ก่อนจะได้ทำเรื่องดังกล่าวก็มีงานเล็กๆ ที่ไม่เล็กเข้ามาให้ลองฝีมือกันก่อน โดยเป็นการนำพลังานจาก solar cell มาใช้ในการชาร์จแบตเตอร์ ไม่ง่านเลยที่จะทำให้แบตเตอร์รี่เต็มจาก เหมือนกับการหยดน้ำลงในถังขนาดใหญ่ด้วยเทคนิคต่างๆ ตอนแรกก็หวังแหละจะได้ทำงานเขียนโปรแกรม แต่หน้าที่ที่ได้รับคือคนออกแบบวงจรที่โดนตัดออกซะเกือบหมด(ไม่รู้จะคิดไปทำไม)ให้ไอ้คนปัญญาอ่อนไม่ชอบแก้ไข (แบบนี้เราก็ทำได้) อะไรไม่ดีก็ตัดออกอะไรกูใช้ไม่เป็นก็ตัดออก อะไรที่โปรแกรมกูเขียนแล้วไม่ support ก็ตัดออกนี่คงจะไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่งานเราตัดออกแต่ก็ขอให้ คนที่ทำแบบนี้ทำเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตเค้าก็แล้วกัน ผมไม่พูดอะไรกับเค้าแล้ว พูดไปก็เหมือนลมเย็นๆพัดผ่านไป เปลืองน้ำลาย ในที่สุดก็ฝึกงานเสร็จแล้ว (ผู้ที่ผมกล่าวถึงรู้ตัวแล้วไม่ต้องโพสแก้ตัวนะครับเพราะรอบนี้ผมจะลบมันออกแล้วเหตุผลคุณฟังไม่ขึ้นจริงๆ กรุณาอ่านเงียบๆ)ยังทำอะไรไม่ค่อยได้เลย งี้ไม่ต้องเขียนไม่โครก็ได้หรอกต่อกับ solar cell ตรงๆดีกว่ามั้ย ไม่ต้อง pulse หรอกเปลืองพลังงานจากไมโครแค่นี้เราก็ทำได้ ไม่ต้องใช้ตัว gen code ด้วย เรื่องนี้บางทีเราก็อาจจะมีส่วนผิดอยู่อ่ะนะตรงที่ไม่ได้เขียนไมโครเอง ช่างมันเหอะมันจบแล้ว
การฝึกงานที่นี่ก็ดีนะกลุ่มของเรามีคนจากสถาบันต่างๆกัน 4 ที่แหน่ะต่างคนต่างความคิด มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่างๆกัน คนจากที่ต่างๆกันมาเจอกันย่อมความเห็นต่างกันเป็นธรรมดา แรกๆเราก็ยอมรับว่าเราหัวแข็งเหมือนกันหลังๆต้องยอมแล้วด้วยเหตุผลหรือเปล่าเราไม่รู้หรอก แต่อยู่เงียบๆดีกว่าไม่เปลืองน้ำลาย ไม่ต้องผิดใจกับใครแค่ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
ในการฝึกงานกับ TESA นะเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆได้ไปดุงานที่ TMEC [Thai micro electronic content ]เป็นที่ออกแบบ ic ของประเทศไทยถึงจะไม่ค่อยมีผลงานเท่าไหร่ก็ ok สามารถทำ chip ที่มีเทคโนโลยีการผลิตได้ถึง 0.5um ใหญ่กว่า core2 ประมาณ 10 เท่า ซึ่งผมอยากทำงานที่นี่มากๆปีสุดท้ายนี้ต้องทำอะไรมากขึ้นซะแล้วหล่ะมีคำถามเกิดขึ้นในใจแล้ว แล้วEmbeded หล่ะ คำตอบของผมคือ เก็บไว้เป็นงานอดิเรกอันดับ 1 แล้วกัน ที่ต่อมาที่ได้ไปดูงานคือ TMAP-EM (Toyota motor asia pacific engineering and manufacturing) ได้ไปดูในส่วนของงานควบคุม ECU ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของรถยนต์ เจ๋งดี เป็น Embeded แบบหนึ่งและที่สุดท้ายคือ silicon craft เป็นสถานที่ออกแบบ chip ของคนไทยเป็น home office น่ารักมากและสามารถพัฒนาและออกแบบสู่ตลาดโลกได้ การฝึกงานที่นี่สนุกมาก ขอให้ผ่านทีเถอะ(ขู่จังจะไม่ให้ผ่านสองคนใครหว่า อาจจะเป็นผมก็ได้ปีหน้าอาจจะต้องอ่านเรื่องการฝึกงานของผมอีกที^-^) สุดท้ายนี้ต้องกล่าวขออภัยในสิ่งที่ได้ทำผิดในการฝีกงานที่นี่ และขอกราบขอบพระคุณพี่แดง พี่พล ดร.อภิเนตร พี่เขียว พี่ปาล์ม พี่ๆทุกคนที่ tesa ทีได้ให้โอกาสได้มาฝึกงานที่นี่ และจุดประกายความคิด เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ขอบคุณมากครับ


ฝึกงานเสร็จเเล้นนนนนน
....................ยังไม่รู้จะเริ่มต้น ยังไง ดี...................มีเรื่องอยากจะเขียนตั้งมากมายเพราะ กลัว ว่า ถ้าผ่าน ตอนนี้ไปแล้ว ไอ้ ความทรงจำอันน้อยนิดนี่ จะไม่เพียงพอที่จะ จดจำทุกรายละเอียดได้หมด ณ ตอนนี้ เพิ่งกลับมาถึงหอ ทั้ง เมา ทั้ง มึน เพราะเพิ่ง กลับจากงานเลี้ยงส่ง(อีกรอบ) เรียกได้ว่า จะเปงงาน ถีบส่ง คงจะได้ ละมั้ง เห่อๆๆ ไปเลี้ยง กันที่ บ้าน พี่ เอ
เเต่ก่อน อื่น อยากพูด ถึงตอนเช้า ของ การฝึกงาน วันสุดท้ายดีกว่า 555+ สาย คับสาย ไอ้ ปลั๊ก สายจน กระทั้ง วันสุดท้ายเลยนะ มึง เสียงของไอ้ เชี่ย ตั๊ม ที่ พอเจอหน้ากัน ที่บริษัท หลัง จาก ที่ เราได้ เดิน เข้าไป พร้อมกับใบหน้า อันสลึมสลือ (เออ ทำไง ได้ ว่ะ คนไม่สบายนี่หว่า กรู ก็ตอบกลับไป ไม่สบาย เปงหวัดนิดหน่อย) เเล้ว อยากบอกว่า ตู ยังไม่ได้กินไรเลยตั้งเเต่เมื่อวานตอนเย็น นอกจาก นม กล่องเดียว ไปทำงานสายเลยไม่กล้า เอาหน้า ที่ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่ ไปนั่งกินข้าวที่โรงอาหาร เพราะ ส่วนใหญ่ คนอื่น เขา กินกินไปหมดละเเละก็เข้าไปทำงานกันเเล้ว เลยยยยยตัดสินใจจจ เอาว่ะ ไม่กินก็ไม่กิน เห่อๆๆ เก่งไหมละ (เก่งตายละ) จากนั้นก็เริ่มทำงาน เหมือนปกติ เเต่ที่ไม่ปกติก็จะเปง พี่ๆ หลายๆคน จะพยายาม เเวะมาพูดมาคุย เพราะ วันนี้เป็นวันสุดท้าย เเล้วนี่ ที่จะได้ มาทำงาน ด้วยกัน เราเองก็ รู้สึกได้ หลายๆอย่าง
เเละเเล้วก็มาถึง พักกลางวันที่เรารอคอย 5555+ วันนี้ พี่ๆ ที่ได้ นัดเราเเล้วละว่าจะพาไปกิน ข้าวข้างนอก เห่อๆๆ เลี้ยงส่งๆๆ(อันนี้ เปงพี่ๆจาก แผนก ดีไชด์) ที่ เราเคย ทำอยู่ตอนช่วงเเรก เเล้วพี่ๆ เขาก็พาไปกิน ข้าว ที่ร้าน พั้น โอ้ว ไปถึง อาหาร เพรียบพร้อม มีหรือ จะ รอช้างานนี้ กินได้ เต็มคราบ 5555 เพราะมี บอสใหญ่ ไปด้วย ( มิสเตอร์ ไมเคิล ) เปง คนเลี้ยง กินไปได้ สักพัก เริ่ม อึดอัด ฮ่า สงสัย เพราะรีบกินไป เลยจุก อาหาร ที่ส่งมายังไปไม่ถึงครึ่งเลย เห่อๆๆๆ ชังมันกินไปเรื่อยๆ อาหาร อร่อย มากๆๆ ไว้ เลี้ยง สาย สงสัย ต้องไป กินที่ ร้านนี่ละ (จะมีปัญญา จ่ายไหมนี่กรู) เมือทุกคน อิ่มหนำสำราญ ก็เล่น ไม่พูดไม่จา ตั้งหน้าตั้งตากิน ลูกเดียว ก็ต้องรีบ กลับ เพราะ พวก บอสๆ ทั้งหลาย เขามี ประชุม เเต่ เราก็ไม่ได้ สนใจ สักเท่าไหร่ หรอก พอกลับมา จากกิน ข้าว ก็ เกือบๆ จะ บ่าย 2 มาถึง บ่ายโมงกว่าๆๆ มาเจอไอ้อาร์ท มันเลยทักขึ้นมาว่า อย่าลืมเตือนกรูนะ บ่าย 2 พี่เขานัดที่ที่แผนก HR กรูก้เออๆ พอมองดูนาฬิกา อ้าว เเมร่งงงงง บ่าย 2 เเล้วววจากนั้น ก็ได้ รวมตัวกัน ทั้ง 6 ก่อน มี เรา ไอ้ ตั๊ม อาร์ท ต้อง อั๋น ปิ๊ก เเล้ว อีก คน ชื่อ เอี๊ยว เพราะ เขา เรียกให้มารับใบรับรอง เเละก็สอบถามข้อมูล ต่างๆ บ่าย 3 ก็ เสร็จ อืมไง ต่อดีๆ พอกลับมา ที่ แผนก พี่ๆ ก็ พยาม ทำงาน ส่วนที่มันค้างๆๆๆๆ ให้เสร็จ เเต่ ก็ยังไม่เสร็จ สุดท้าย 5 โมงเย็นนน เเล้ววว ก็ได้ไป ร่ำลา พี่ๆ เกือบทุกๆคน ก็มี ถ่าย รุป กัน พี่ๆเขาก็ให้ นาม บงนามบัตร กันไว้ เผื่อ มีไรก็ ติดต่อกันได้ เออเกือบลืมๆ (พี่ๆเขาส่งตัดช๊อป บริษัท ที่มีชื่อ พวกเรา ด้วย เเต่ยังไม่เสร็จ เสร็จเเล้ว เด๋ว พี่ เอ้ จะเอามาให้ ฮ่า ขอบคุณ คับ พี่เอ้ ) หลังจากร่ำลา กัน ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก กันเสร็จ พอเราเดิน มาที่หน้าก็เจอพี่เอ พี่วุฒิ พี่ๆ กะ ไอ้อาร์ท ไอ้ ต้อง ปรึกษากันอยู่ ว่า จะ มีเลี้ยงส่ง กัน ที่บ้านพี่เอ ตอนเเรก ว่าจะ ไม่ไป เพราะ เหนื่อย + ไม่สบาย+ อยากกลับไปนอน เเต่ สุดท้ายก็ ตัดสินใจไปเลยนั่งรถพี่เอ ไปบ้านพร้อมเเก ไปถึง ก้ นั่ง คุยนั่งเล่น นั่งกิน กันไปเรื่อย ๆ ชิวๆ เพราะ ต้อง รออีก หลาย คนกว่าจะมาถึง เมื่อ รู้สึกดีมากๆเลย เเต่ วันนี้ ดืม หนักไปหน่อย *-* เเต่เเล้ว ไอ้ ฝน เจ้ากรรมก็ลงมา จากนั่ง กินกันที่หน้าบ้าน ก็ ต้องอพยพเข้า ในบ้านกัน ตอนนั่น น่าจะ ประมาณ ตี 1 ละ ซึ่ง กระผมก็เริ่มไม่ไหว อย่างเเรง เลย เผลอหลับ ตื่นมาอีกที หายหมด ทุกคน (นอนกันในห้องหมด มีแอร์ด้วย เเต่ตูดิ นอน ที่โชฟา เลยตัดสินใจ นั่ง รถกลับ หอดีกว่า) ก็ มาถึงหอโดย สวัสดิภาพ...
-----ตอนนี้ พรุ่งนี้ (วันหยุด) วันมะรื่น หรืออีก หลายๆวัน เราคงไม่ต้อง ตื่น เเต่ เช้า ทุกวัน ไม่ต้องไปทำงาน ตอนนี้ คิด ไปคิดมา น่าใจหาย มากๆๆ ยิ่งได้ ยินพี่วุฒิ พูด (พวกเอ้งไป เเล้วใครจะช่วยพี่ทำงาน....) ใจ งี้ ตกลงมาที่ ตาตุ่ม ใจหาย เหมือนกันนะ สำหรับคนเราที่ ต้อง มีความผูกพันธ์ ได้รู้จักกัน ได้ทำงานร่วมกัน เเต่ ก็ต้องจากกัน (ถึงแม้ ว่าจะไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกลา เเต่ พอถึง ตอน ลาจาก จริงๆ มันก็เศร้า เหมือนกัน) ไม่รู้จะอธิบาย ยังไง ดีกลับ ความรู้สึกตอนนี้ ใจ หนึ่ง ก็ดีใจ ที่ ฝึกงานเสร็จเเต่ ก็ต้องเปิดเทอม ละ เห้อ เเต่ อีกใจ หนึ่ง ก็ ไม่อยาก จากพี่ๆ เขาไป (มีวันหนึ่ง พี่ วอ ได้ ถาม เราว่า .. จบเเล้ว อยากมาทำงานที่นี่ไหม เราก็ไม่รู้จะตอบยังไง ได้เเต่ หัวเราะ ก้เลย ตอบไป ว่า ยังไม่รู้จะจบ ไหม พี่ ฮา) เพราะ ยังเอาเเน่เอานอนเอา ชีวิต ตัวเองไม่ค่อยได้เลย เเต่ ตอนนี้ ชักเริ่มไม่ ไหว ละ ไปอาบน้ำ นอน ละ คิดไรไม่ออก เเล้วววว จะอ้วกด้วย *-*


ปายฝึกงานที่เชียงใหม่เจ้า^__^
ไปฝึกงานที่ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่มา ...ไปกะเอ 2 คน..เหอะๆๆ...ไป2อาทิตย์แรก...เป็นอารายที่กรูเหงามากเลย...อยู่กัน 2 คน สะเหร่อมากันก่อน..555+..เลยยังไม่มีเพื่อนที่อื่นเค้ามากันซักคน...มาเชียงใหม่โดยสายการบิน ThaiAiRaSia เจอป๋าแอ๊ด..คาราบาวด้วย..เหอะๆ..นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่..ก็เลยถ่ายรูปกะเค้าไปตามมารยาทน่ะนะ

พอมาถึงศูนย์วิจัย..ที่แห่งนี้น่ะเหรอ..กรูจะอู้ได้มะเนี่ย...เค้าจะใช้งานกรูหนักมะ..แต่บรรยากาศโดยรอบก็ดีน้า..อากาศเย็นสบาย..แถมที่นอนก็มีให้ในห้องตั้ง 6 เตียง..ดีเลย..จาได้นอนกลิ้งได้สะดวกหน่อย..อิอิ

2 อาทิตย์แรก..งานเบาๆว่ะ..เด็กมั่กๆ..ให้แต่บันทึกข้อมูล..แดดก็ไม่โดน..แอบดีใจ..กรูจาได้ไม่ดำ..มาฝึกที่นี่ก็ดีนะ..พักตลอด..10โมง.เที่ยง..และก็บ่าย4โมง..วันๆไม่ทำไร..นั่งรอดูเวลา..ว่าเมื่อไหร่จะได้พัก...เฮ้อ..สงสารตัวเองจิงจิง..แต่ตอนกลางคืนเป็นอะไรที่เหงามากเลยน้า...ดีนะที่ยังมีโทรศัพท์.เลยได้คุยกับสุดที่รัก..ชีวิตเลยมะได้เงียบเหงา..และก็ค่อยมีความสุขหน่อย

ไม่นานน....ก็มีเพื่อนๆม.เกษตรมาฝึกงานด้วย..เลยเป็นอะไรที่happy..มากขึ้น..วันๆไม่ทำไร..หาเรื่องอู้กันได้ตลอด..นั่งเม้า..นั่งทำงานกันไป..ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงไม่นานมันจะทำให้พวกเราสนิทกันมากขนาดนี้..อิอิ..พูดไปก็คิดถึงพวกนั้นเหมือนกัน..

ไม่นานก็มีพวกอื่นมาฝึก..แต่กรูก็ไม่สนิทกะเค้าเท่าไหร่หรอกน้า..ไม่รู้ดิ..มันไม่ใช่แนวว่ะ...ที่สนิทหน่อยก้มีแม่โจ้นี่แหละ..เป็นเพื่อนที่ดีมากเลย...ช่วยกรูทำงานด้วย..มีน้ำใจ..น่ารักมาก..คิดว่าเพื่อนๆคงเข้าใจแหละน้า..ว่ากรูเป็นยังไง..555+

กับการที่ได้มาอยู่นี่..ความสุขเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ..จะไม่ให้สุขได้ยังไง..ก็สุดที่รักอุตส่าข้ามน้ำข้ามทะเลมาหา..เป็นอะไรที่ประทับใจมากเลย...แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน..วันเวลาผ่านไปเร็วมาก..และแล้วที่รักก็ต้องกลับไป..เลยอดเที่ยวสงกานด้วยกันเลย...แล้วไม่รู้กรูเป็นไร..กรูร้องห่มร้องไห้ไม่อยากให้เค้ากลับ..แต่ยังไงก็ต้องไปเจอกันที่ลาดกระบังอยู่แล้ว..ตอนสุดที่รักกลับไป..เป้นอะไรที่หดหู่และก็เศร้ามากเลย..เหมือนมีอะไรขาดหายไป..ไปไหน..ก็คิดถึงแต่ที่ๆเราไปด้วยกัน...โคตรทรมานเลย..

มาอยู่นี่ได้ไปเที่ยวหาไอ้พวกกะเลวกะลาดมังด้วย...555..พวกมันลำบากกว่ากรูอีกไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน..ก็บ้านกรูมันจะมีไรให้เที่ยววะ...กรูอยู่มาตั้งแต่เกิด..กรูยังไปเที่ยวมะหมดเลย...555..พูดไปก็อายเหมือนกัน...แต่เหงพวกมันสบายดี..กรูก็ดีใจและ...แต่แอบอิจฉามันว่ะ...ทำงานสบายอยู่แต่ในห้องlab..เจอแต่ละคงนี่โหหน้าใสกิ้ง...เมื่อไหร่กรูจะได้ทำงานสบายๆแบบนี้บ้างวะ

อยู่นี่เหมืองกูเปงคนเชียงใหม่เลย...มาคุ้ม...ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ กรูมะเเคยอยู่เฝ้าศูนย์วิจัยเลย.....ออกเที่ยวมังตลอด...ก็จะใครเพื่อนรักกรู..อีเอ..ถึงเวลาก็ชวนกรูไปและ..กรูก็ชอบ..นี่ก็ไปเที่ยวดอยสุเทพกะดอยอินทานนท์มา..ไปกะแก้งมอกะเสดเค้าด้วย..แม่งไปดอยสุเทพ..กรูมาวววว์อ้วกซะงั้น..555..กู้อ้ายอาย..กรูก็มะเข้ใจเหมือนกัง..ว่าเวลาไปเที่ยวเนี่ย..ไม่มันผ่านไปเร็ว..กว่าตอนที่กรูฝึกก็มะรู้..ตอนกรูฝึกงานแต่ละวันผ่านไปแม่งโคตรนานนนนน...กรูล่ะเซ็ง

นี่อีก2อาทิตย์ กรูก็จะกลับบ้านและ..อยู่กะอีเอมัง พวกชาวแก้งกะเลวกะลาดมันก็กลับกันไปและ...และแก็งใหม่กรู...แก้งมอกะเสดก็กลับไปด้วย...สุดที่รักกูก็กลับไปอีก....กลับมาวังวนเดิม...แม่งโคตรเหงาเลยยย...แต่กรูจะบอกว่า 2 อาทิตย์ที่เหลือแม่งงานโคตรหนักเลน..กรูคนเดียวนะ..เอมังมะเกี่ยว..คนละกลุ่ม..แม่งให้กรูไปนั่งตากแดด..กรูปวดหัว...กรูจะเปงลมอาววว..กรูทำงานมะไหวเลย..เพลียแดด..ก็เลยนั่งหลับกลางแดดซะงั้น...ป้าคนงานชมกรูด้วยว่ากรูเก่ง..ร้อนแล้วยางหลับได้อีก...555+ความสามารถสูงอ่ะ..แก้งแม่โจ้..เพื่อนใหม่กรู...ก็ได้แต่ชื่นชมในความ ขี้เกียจ ความอู้ของกรู..และเผลอๆก็ติดนิสัยอู้ไปกะกรูด้วย...เพื่อนเค้าบอกว่ากรูเก่ง...ครูฝึกเค้าสั่งให้ทำงานไร...กูแบ่งรับแบ่งสู้..ต่อรองเสมอ...กรูมะยอมหรอก...มาฝึกงานโว้ยยยย...มะได้มาทำงาน...แต่เพื่อนแม่โจ้อึดดีว่ะ ของเค้าดีจิงจิง..กรูชอบ..และกรูก็ปลื้ม...ที่เพื่อนกูเก่งและก็เข้าใจในสิ่งที่กรูเปง

การฝึกงานที่ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่..ทำให้กรูได้ประทับใจอะรายๆหลายอย่าง ขอบคุณสำหรับสิ่งดีดี ไม่ว่าจะเปงมิตรภาพที่มีให้กัน..รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นนะที่แห่งนี้...ความสุขที่แสนอบอุ่น ที่ทุกคนหยิบยื่นให้กรูมา อีกทั้งประสบการณ์ดีดีที่ไม่รู้จะหาได้ที่ไหนนอกจากที่นี่..มันคือความทรงจำดีดีที่งดงาม...แสนเสียดายแม้จะเหลือเพียงอดีต..แต่อีฟจะเก็บวันเวลาดีดีที่เรามีร่วมกันและคิดถึงทุกคนตลอดไป....ขอบคุณค่ะ


เรื่องเล่าจากที่ฝึกงานตอนจบ
ในที่สุดเวลาทีต้องฝึกงาน 2เดือนก็หมดลงวันนี้ (30 พ.ค.50)
2เดือนที่ผ่านมาก็มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกงาน
ถึงแม้การมาฝึกงานครั้งนี้ ผลลัพท์ที่ได้ อาจไปเป็นไปตามที่คิดไว้ในตอนแรกก็เหอะนะ
แต่สิ่งอื่นที่ได้กลับมา มันเป็นประสบการณ์ ที่หาไม่ได้ในรั้ว มหาวิทยาลัย
มันทำให้โลกทัศน์ของเรากว้างขึ้น มองเห็นถึงการดำเนินชีวิตในการทำงาน
จากที่เราเห็นแค่ตื่นเช้ามาเรียน เย็นกลับบ้าน สอบก็อ่านหนังสือ แต่การฝึกงานเนี๊ยะ
มันทำให้เราเห็นถึง หน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ ความเหนื่อย ความยากลำบากในการทำงาน และคุณค่าของเงิน
มองเห็นคนอีกกลุ่มนึง ที่เราไม่เคยได้รู้ ซึ่งมันก็ทำให้เรารู้ว่า พวกเรามีโอกาส ในชีวิตที่ดีกว่าเค้า
มีโอกาสที่ได้เรียนสูงกว่าเค้า มันก็เลยทำให้รู้ว่า โอกาสที่เรามีวันนี้ เราควรจะใช้มันให้คุ้ม และเป็นประโยชน์กับตัวเองที่สุด
ถึงแม้ อาจจะโดดงานไปเที่ยวบ้าง ให้คนอื่นตอกบัตรให้บ้าง แต่มันก็มีความสนุก และความสุขอยู่ในตัว
ได้เพื่อนที่ดี มิตรภาพที่ดี พร้อมกับความทรงจำที่ดีกลับมา

ป.ล.
การฝึกครั้งนี้ ทำให้เปิดโลกทัศน์ของตัวเองมากขึ้น
ให้มีความทรงจำที่ดีและมิตรภาพที่ดีเกิดขึ้น
จะเก็บเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นนี้ไว้ในความทรงจำของเค้าไปอีกนานๆ


ใกล้ฝึกงานแหล่ว...
พรุ่งนี้ก้อไปกรุงเทพแล้ว...ย้ายเข้าหอใหม่
เตรียมตัวกับเทอมฝึกงาน
อยู่บ้านนานๆ ต้องไปหอ ก้อคิดถึงบ้าน เหมือนกัน
แล้ว 2 ตายายเค้าจะเหงามั้ยน้า ไม่มีลูกคนนี้คอยอยู่กวน
คงไม่เหงาหรอกมั้ง ช่วงนี้แกยุ่งๆ งานเข้าทุกวัน~
อยากอยู่ดูแลแกเหมือนกันแฮะ แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่รุ่ใครดูแลใครกันแน่
ช่วงหลังๆเด๋วนี้ 2ตายายแกดูแลตะเองขึ้นมาก ตื่นเช้าไปวิ่งกันทุกวัน
ดีๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง
เสียอย่างป๊าไม่เลิกเหล้าซ้าที เอาอะไรไปแลกแกก้อไม่ยอม
ต้องให้ป่วยมั้ง ถึงจะเลิก คนอะไรดื๊อดื้อ~ กินแต่เหล้า จะสอบอยู่เดือนหน้าแท้ๆ ก้อไม่เหงอ่านหนังสือ -*- (เป็นกันทั้งพ่อ,ลูก)
แม่ก้อยังเหมือนเดิม ยังบ่น จุกจิกเหมือนเดิม เอิ้กๆ
เฮีย อีกคน อายุก้อเยอะแล้ว ไม่โตสักที ~
หุหุ บ่นกันทั้งบ้าน
...
เปิดเทอมฝึกงานจะได้เจอเพื่อนมั้ยเนี่ย...
แยกย้ายกันคนละทิศยังกะดราก้อนบอล
ปุบๆปับๆ ก้อขึ้นปี 4 แล้ว แก่ไวมาก
หลับตาลงยังจำวันมาสอบสัมภาษณ์ได้เลย เวลาผ่านไปไวยังกะเรื่องตอแหล
เรียนมาจนขึ้นปี4ยังไม่ยากเท่ากับเรียนให้จบ4ปี ~
...
ตอนนี้นู๋น่าจะสอบเสร็จแล้วมั้ง ถ้าตัวสุดท้ายไม่สอบ
ดีใจด้วยๆ สอบเสร็จจาได้ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องหงุดหงิด
จาได้ไม่ต้องนอนดึก พักผ่อนมากๆนะ
เทอมนี้อยุ่ใกล้ก่าเดิม ไปมา น่าจะสะดวกก่าเดิม
คิดถึงนู๋มั่กๆๆ
คนอะไร ไม่ได้เจอกัน ยังตามมาหาในฝันเก้าได้ทุกคืน...
รักนะ ^^


วันนี้ก็ present proposal เสร็จไปเรียบร้อยแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าผ่านไปได้ด้วยดีอะป่าว
รู้แค่ว่า – มันผ่านไปแล้วอะ –
เหมือนจะดี แต่ก็แอบไม่ค่อยดีด้วย (แอบเศร้าเล็กน้อย)
เฮ้อออออ
วันนี้มาอัพ blog ก่อนไปฝึกงานที่ไทยออยล์
ไม่รู้ว่าจะได้อัพอีกเมื่อไหร่อะนะ
เอาเป็นว่า ~~ สู้ๆ ~~
(อีกปีเดียวเท่านั้น)

แหม...ดีจริง ใครอยากดังก็โทรมาบอกนะ เดี๋ยวเจ๊จัดให้อย่างยายคุณนายทีเนี่ยเห็นดิฉันไม่มีการเขียน blog มาเพลาหนึ่ง(ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ)ถึงกับขอร้องให้มีการเขียนถึงงานวันเกิดหล่อนที่จัดพร้อมกะน้องโจเมื่อวันศุกร์ที่ 25 May ที่ผ่านมา คุณๆขา ดีใจกับหลายๆคนนะคะที่ไม่ได้ไป บ้านแม่งไกลโคตร กรูนึกว่าเล่นหนังอินเดียอยู่ ขับรถข้ามเขาไปตั้งหลายลูกกว่าจะถึง แต่ต้องยอมรับค่ะว่าว่าที่สามีคุณทีเค้ารสนิยมวิไลจริงๆ(ยกเว้นหนึ่งเรื่อง) บ้านน่ารักสุดๆ เข้าบ้านไปก็พบกับสัตว์สงวนหายากที่คู่นี้เค้ามีไว้ครอบครอง คือ Giant Shizu สวมจานดาวเทียม(อย่าขี้เกียจ click ไปดูรูปที่ album เอง)ที่วันนี้ไม่มีไอ้หมาหน้าดำของน้องตูดใหญ่มารังควาญ อาหารการกินละลานตามาก โดยเฉพาะน้ำพริกปลาทูของแม่น้องตูดใหญ่ ที่อร่อยจนไม่มีใครคุยกะใครเพราะซวกกันไม่ยั้ง งานนี้เต็มไปด้วยชาวมณฑลบางบัวทอง ที่ภูมิใจนำเสนอต่อว่า "บ้านกรูไกลกว่านี้อีก" เออ..กะว่ามาสร้างบ้านดักความเจริญไว้ก่อนที่มันจะมาถึงงั้นสิ รวมถึงเพื่อนคุณทีและคุณนายมาเฟียจาก ม.กรุงเทพที่ทำเอาสาวๆกลุ่มเราเฉาเลย ก็แม่งผอมหุ่นดีตูดเล็กซะงั้น เออ..แต่ดูเค้าไปเราก็ตักอาหารเข้าปากต่อไม่มียั้ง Gary เป็นฝรั่งคนเดียวในงาน แต่ก็ภูมิใจที่ได้มาทำหน้าที่บริการเมียรักและพรรคพวกมือเป็นระวิง



May 30
ฝึกงานเสร็จแล้ว
ฝึกงานเสร็จแล้วครับพี่น้อง
ผ่านไป 2 เดือน กว่า ๆ ไวกว่าเอานิ้วมาเกาสะดืออีก
เป็นประสบการณ์ที่สนุก มากเลยครับ
ช่วง สัปดาห์แรก ผ่านไปอย่างเบลอ ๆ ครับ เพราะช่วงนั้นหวัดลงคอ บวกกับหอบหืด
เป็นอะไรที่ค่อนข้างทรมานมากเลยล่ะครับ
หายจากไปสบายก็เริ่มงานออดิท เลยล่ะครับ
งานก็ทำในส่วนง่าย ๆ เช่น เราต้องมาตรวจดูใบเสร็จทีละใบตั้งแต่เดือนมกราคม(1) ถึงเดือน ธันวาคม(12)
ศัพท์ในการทำเช่นนั้น ก็เรียกว่า Voucher ครับ เรียกกัน ง่าย ๆ ว่า เว้าเอกสาร ตอนแรกก็สนุกดี แต่ผ่านไป หลาย ๆ สัปดาห์ ชักน่าเบื่อแล้วล่ะครับ

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าคล้าย การเว้า ก็น่าจะเป็นงานเดียวกัน แต่ เป็นการ จ่ายเงิน จากที่ค้างในงวดปัจจุบัน เราก็ต้องไปตรวจใบเสร็จในรอบระยะเวลาบัญชีใหม่ เราจะเรียกในส่วนนี้ว่า Subsequent เรียกสั้น ๆ ว่า สับ น่ะครับ

งานใช้สมองก็มีบ้างเช่น การตรวจภาษีขาย และซื้อ ขายนั้นไม่ยากครับก็ดูจากใบเสร็จของกิจการเรานั่นเอง ส่วนซื้อนั้นก็ไม่ยากเช่นเดียวกัน เราก็ต้องดู รายละเอียด 8 จุด คือ ต้องมีคำว่า ใบกำกับภาษี มีชื่อเค้า ชื่อเรา วันที่ รายการ เลขที่เอกสาร เงินภาษีVat

แล้วก็ได้ทำในส่วนของธนาคาร คือ กระทบยอด ก็สนุกดี มีการบวกกลับ ในส่วนที่กิจการบันทึกแต่แบ๊งค์ไม่ได้บันทึกและในทางตรงกันข้าม เราก็ต้อง ปรับให้เป็นยอดที่ถูกต้องให้ได้

ได้ฝึกการบันทึกบัญชีในคอม บ้างเล็กน้อย ซึ่งค่อนข้างน่าเบื่อมาก ๆ เลย ได้ ส่งจดหมายยืนยัน ยอดลูกหนี้เจ้าหนี้ ซึ่ง เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เย็บเล่มงบการเงิน

ส่วนเรื่องที่ผมคิดว่ายากมากที่สุด ก็คือการกรอก เอกสารต่าง ๆ เช่น ภงด50(ยื่นภาษีบริษัท) ภงด3(หัก ณที่จ่าย คนธรรมดา) ภงด53(หัก ณ ที่จ่าย นิติบุคคล) สบช 3,3/1 แบบส่งงบการเงิน บอจ.50 หนังสือแสดงผู้ถือหุ้น

เรื่องพี่ ๆ ที่บริษัท ก็น่ารักมาก ๆ เลยล่ะครับ ด้วยความที่มีผู้ชาย อยู่ในบริษัท เพียง 2 คนคือผมและเพื่อน จึงได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ มีการแซว สนุก ๆ ให้เป็นที่ฮือฮากันบ้าง

พี่ก็ใจดีสุด ๆ เลยล่ะครับ ทั้งการสอนให้ทำงานก็ไม่เคยมีดุหรือบ่นเลย ขอลาหยุดรับน้องก็ให้หยุดโดยง่ายได้ บางครั้งก็รู้สึกเกรงใจมาก แต่ก็เรายังเป็นวัยรุ่นนะครับเราก็ต้อง มีการนอกลู่นอกทาง จะให้ เหมือน ๆ พี่ ๆ ได้อย่างไรล่ะครับ

ผมคิดว่า เปิดเทอม คงได้ใช้ความรู้ความสามารถจากการฝึกงานได้เต็มที่เลยล่ะครับ

จะฝึกงานเสร็จแล้วละ
ฝึกงาน

เป็นการเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้ชอบที่เราเรียน


นับวันรอ

เป็นผลพวงมาจากที่เราทำอะไรที่เราไม่ได้ชอบจริงๆ เลยอยากให้มันจบๆไป


กลับขอนแก่นบ่อย

เป็นเพราะว่าที่ขอนแก่นมีคนที่ชอบเหมือนเราอยู่ที่นั้นได้นั้งคุยกันแล้วสะบายใจ

แต่วันนี้ก็มาถึงจนได้วันที่เราจะฝึกงานเสร็จ
ไม่ได้ใจหายหลอกนะ
ดีใจมากกว่าอีก
หวังว่าจะผ่านนะ ฝึกงาน
จะได้ไม่ต้องไปฝึกที่อื่นอีก
แล้วเราเจอกันนะ ขอนแก่น

วันสุดท้ายของการฝึกงาน
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของกาฝึกงานแล้วแอบดีใจเพราะว่าจะได้ไม่ต้องตื่นเช้าแล้ว และอีกอย่างก็ใกล้เปิดเทอมแล้วด้วยดีใจจัง ปิดเทอมที่ผ่านมารู้สึกเหนื่อยมากๆ เลยกับปัญหาของตัวเอง แต่ทุก ๆ ครั้งที่มีปัญหาก็ได้เพื่อน ๆ ทุกคนคอยให้กำลังใจตลอดเวลา คอยให้คำแนะนำทุกเรื่องเลย ขอบคุณทุก ๆ คน ที่คอยเป็นห่วงและอยู่ข้างกันตลอดเลย เปิดเทอมคราวนี้คงจะมีแต่ความสุขนะ คิดถึงเพื่อนทุกคนเลย


สิ้นสุด..วันฝึกงาน
และแล้ววันนี้ก้อเป็นอันสิ้นสุดของการฝึกงาน เฮ้อ..เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยล่ะว่ามั๊ยเพื่อนๆ และอีกไม่กี่วันเราก็จะเปิดเทอมกันแล้วนะ จะได้เจออะไรใหม่ สำหรับหัวข้อThesisยังคิดไม่ออกเลยจะทำเกี่ยวกับไรดีน้อ อยากทำเฟอร์แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์จะให้ทำหรือป่าว...แล้ววันเสาร์นี้ยุทก็จะพาแตไปดูหนังแล้ว เพราะแตทำนำ้ลดลง จนตอนนี้หนัก 48 แล้วล่ะ อย่าลืมนะยุทธ..ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ๆที่แตอยากได้กับพิซซ่าแล้วก้อหนัง1เรื่อง แล้วก็ต้องพาไปเที่ยวที่วัดหลวงพ่อโสธรด้วย กับก๋วยเตี๋ยวดู๋ดี๋ด้วยนะ เมื่อไรๆๆๆจะถึงวันเสาร์สักทีอยากให้เวลาเร็วๆจังชักอดใจไม่ไหวแล้วอยากเห็นหน้ายุทที่สุดเลย......


กลายเป็นกระทู้ที่น่ากลัวไป ณ บัดดล ตกใจแทบสิ้นสติที่เห็นกระทู้ตัวเองได้รับความสนใจมากขนาดนี้
....คือว่าไม่คิดว่าเรื่องอุจาดแบบนี้จะกลายเป็นที่ถูกใจของชาวปันติ๊บไปได้ อิๆ .....เอางี้แล้วกันถ้าอยากรู้กันมาก
นักก็จะเล่าความเป็นมาเป็นไปเรื่องผมกับมัน (และวันอัศจรรย์ไรของเรา)....
มันเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานผม เข้ามาก่อนผมครึ่งปีมั้งเป็นเด็ก ม.เอกชนไงเลยจบก่อน ม.รัฐบาล จริงๆ ก็รุ่น
เดียวกันนั่นแหละ เอ๊ะ หรือผมอ่อนกว่ามันฟ่ะ ผมเข้ามาวันแรกก็เจอมันนี่แหละ on duty วันนั้น ผมว่ามันก็เฉยๆ
นะ แมนๆ หน้าตาเหมือนแมงวัน ตาโตๆ โปน อิๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร (หน้าเหมือนคนนั้นอ่ะ นึกไม่ออก คนที่เป็น
AF2 อ่ะ ที่อยู่แกรมมี่ ที่ร้องเพลงเพราะๆ ตาโปนๆ เหมือนกัน โทดทีนะนึกไม่ออก นึกออกจะมาโพสบอก หรือถ้า
ใครทราบเบาะแสก็บอกด้วยนะครับ ว่านักร้องมันชื่ออะไร จะได้หายข้องใจกัน) แต่รู้สึกว่าไอ้นี่มันเป็นใครมาจาก
ไหน ทำไมถึงอวดเก่งเจงๆ
มันชอบมาสอนงาน ถ่ายเอกสารมันยังสอนเลย ผมบอกไม่ต้องสอนผมหรอก ตอนฝึกงานก็ถ่ายแต่
เอกสารนี่แหละ จนจะเปิดร้านเองแล้ว......เรื่องน้ำเต้าหู้ มันเริ่มซื้อมาให้ตั้งแต่วันแรกที่ผมยืนดูดไวตามิลล์ พอมัน
เห็นปั๊บเท่านั้น รีบแถ...เเทเเด็ดเเทแด็ดแท็ดแถ เข้ามาทันที บอกชอบกินน้ำเต้าหูเหรอ ผมบอก ป่าว พอดีหิวเลย
กินรองท้อง
.....ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋จะมาอยู่บนโต๊ะ ทุกวัน มันบอกว่าลูกสาวร้านปาท่องโก๋
ชอบมัน ซื้อแต่เต้าหู้ทีไร แถมปาท่องโก๋มาให้ทุกที.....จนวันนึงผมบอกว่ากินปาท่องโก๋แล้วนึกถึงแฟน (ผู้หญิงนะ)
วันรุ่งขึ้นมันซื้อมาแต่น้ำเต้าหู้อย่างเดียวเลย ผมถามว่า “อ้าวแล้ววันนี้ปาท่องโก๋ไม่มาเหรอ หรือว่าลูกสาวเจ้าของ
ร้านไม่ชอบเมิงแล้ว” มันบอก “ถ้ากินปาท่องโก๋แล้วแสลงก็ไม่ต้องกิน กรูไม่เอาแล้ว มันให้ กรูก็เอาให้วินมอไซต์
หน้าปากซอย”...สันดานเลวเล็กน้อย ผมบอกว่าแสลงอะไรของเมิงก็ไม่แพ้ (ตอนนั้นยังไม่เก็ท) ซะหน่อย มันบอก
ให้ผมอ่ะกินแต่น้ำเต้าหู้เยอะๆ จะได้แข็งแรง มันบอกว่ามันชอบคนอวบๆ.......ชักเอะใจ เมิงจะขุนกรูไปทำไก่ตอน
วันไหว้รึไง............

ประสบการณ์การฝึกงาน
เรื่องของการฝึกงานตอนนี้เราก็ฝึกเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว 3 คลินิก คือ รพ.ศิริราช รพ.พญาไท 2 แล้วก็ รพ.นพรัตนราชธานี ซึ่งแต่ละที่ก็มีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ได้เจอะเจอกับประสบการณ์ทางคลินิกที่แตกต่างกันออกไป

คลินิกแรก ปีสามเทอมหนึ่ง ประกาศรายชื่อมาครั้งแรกก็แทบช๊อค นายชัยมงคล เสยกระโทก รพ.ศิริราช โหเห็นเเล้วเสียวสันหลัง เพราะรุ่นพี่ต่างพูดขู่ไว้ต่างๆนาๆว่าที่นี้ CI โหดมากๆๆถึงมากที่สุด แต่ในมุมนึงก็แอบดีใจที่ได้ไป รพ.ที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ วันแรกที่ก้าวเข้าสู่แผนกกายภาพบำบัด รพ.ศิริราช ก็เจอของดีซะแล้ว เพราะแค่เห็นหน้าอ.ที่มากล่าวแนะนำ รพ.ก็น่ากลัวล่ะ แอบคิดว่าแล้วต่อจากนี้ไปอีกห้าสัปดาห์กรูจะต้องเจออะไรมากกว่านี้อีกหรือป่าวนี้ แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไป เพราะเราได้เจอกับ CI ตัวจริงของเรา อ.สมลักษณ์ เพียรมานะกิจ หรือที่เราเรียกติดปากว่า อ.เล็ก (ตัวเล็กสมชื่อ) อ.เล็กเป็นอ.ที่ใจดีมากๆๆ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับที่ครายๆ เคยเล่ามา แล้วงานวันแรกที่เราต้องทำหลังจากที่แนะนำตัวกับอาจารย์ก็คือ การเดิน ward ซึ่งเรียกว่าขาเเทบฉีก เพราะเดินหลายตึกมากๆ และสิ่งที่เราต้องทำระหว่างการเดิน ward ก็คือ อ่านแฟ้มประวัติของทุก case ที่อาจารย์ไปทำ อ่านแล้วก็สรุปประวัติเพื่อไปเล่าให้อาจารย์ฟังในช่วงบ่าย คลินิกนี้เป็นครั้งแรกเราก็อ่านออกบ้าง ไม่ออกบ้าง สับสนกับบางโรคที่เรายังไม่ได้เรียน เช่น โรคมะเร็งต่างๆ โรคทางระบบอื่นๆ ที่เรายังไม่รู้จัก แต่อ.ก๋ใจดีให้เราไปค้นคว้ามาตอบอีกวัน ซึ่งวันแรกๆของเราก็ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากนั้นเราก็เริ่มได้รับ case ของเรา ซึ่งตอนนี้เราจะได้เคสส่วนใหญเป็นคนไข้ระบบประสาท แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช้ระบบประสาทธรรมดา เป็นโรคที่รพ.อื่นไม่ค่อยได้เจอ ซึ่งเราก็ผ่านมาได้ด้วยดี หลังจากนั้นเราได้รับงานชิ้นที่เรารู้สึกว่ามันมีประโยชน์กับเรามากคือ อ.ให้เราหา journal มาอ่านแล้วสรุปให้อ.ฟังทุกวันอังคาร เราก็พยายามหามาอ่านอย่างเต็มที่ ก็รู้สึกว่ามานทำให้เราได้ประโยชน์เพิ่มเติมมากมาย และเรื่องที่ทำให้เราจดจำไว้ตลอดสำหรับคลืนิกนี้คือ วัน present case เดี่ยว เราก็ได้เคสที่จะนำเสนอเป็นคนไข้สมองขาดเลือด เนื่องจากไปเที่ยวเขา แล้วก็ต้องเดินขึ้นเขาเหนื่อยจนเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง เราก็นำเสนอประวัติไปตามที่เราสัก แต่ระหว่างนี้เราก็โดนขัดจนเราแทบตาย คือ อ.ตุ๋ย ถามเรากลับมาว่า คนไข้ไปขึ้นเขาที่ไหน เราก็บอกว่าไม่รู้ไม่ได้ถาม ก็เราคิดว่ามันไม่สำคัญ อ.ก็เลยด่าเราใหญ่เลย หาว่าไม่ถามให้ละเอียด เราก็แอบบ่นในใจว่าทำไมช้านต้องรู้ด้วยว่ะ แต่ในที่สุดอ.ก็อธิบายเหตุผลให้เราฟัง เราก็ถึงบางอ้อ อืมมมมแล้วก็นึกชมอ.ว่า คิดได้ไงเนียะ..เหอๆๆ แค่หลังจากนั้นก็ผ่านมาได้ด้วย ...A........ และที่นี้เราก็ได้รู้จักและสนิทกับอาจารย์ที่น่ารักๆ หลายคนได้แก่ อ.หญิง อ.ตุ๋ย อ.นก อ.รุ้ง อ.ชุ และก็อีกหลายๆๆคน

คลินิกสอง ก็เป็นที่แปลกใจอีกล่ะ เนื่องจากเราได้ไป รพ.พญาไท 2 ซึ่งเป็น รพ.เอกชน และปกติก็ไม่เคยรับเด็ก นศ. ฝึกงาน เนื่องจากคนไข้ค่อนข้างจะ.... แต่เราก็ได้ไปกับเกศ เพื่อนสาวของเรา แต่การฝึกงาน รพ.เอกชน มันก็ทำให้เรารู้สึกดีเหมือนกาน เพราะเราได้เรียนรู้ระบบการทำงานของ รพ.เอกชน ไปที่นั่นเราจะได้อยู่กับ CI ที่ค่อยดูแลเราจริงๆ 3 คน คือ พี่กบ พี่ปุ๊ก แล้วก็พี่เป็ด ซึ่งทั้งสามคนนี้ใจดีมากก และก็คอยแนะนำแล้วก็ชี้เเนะเราตลอด แต่ก็ไม่ใช่แค่นี้น่ะ ยังมีพี่คนอื่นๆที่คอยช่วยแนะนำเราทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าแผนก (พี่ยักษ์) พี่จี้ พี่ฮอล์ และก็หลายๆๆคน คือเรียกว่ามี CI ทั้งแผนก แต่ก็ไม่ช่ายแค่พีทีอย่างเดียวที่น่ารัก ที่นี้พี่ๆผู้ช่วยก็น่ารักกันทุกคน พี่ปา พี่นวล พี่เอก และก็อีกหลายๆคนก็ใจดีกันทั้งนั้น ตลอดห้าสัปดาห์ที่นี้ออกจะเหนื่อยหน่อย เพราะเราต้องเดินทางไปกลับทุกวัน นั่งรถเหนื่อยหน่อยแล้วก็เลิกงานตั้งห้าโมงเย็น (ทั้งๆที่เคสหมดตั้งแต่บ่ายสอง แต่ก็ไม่ได้กลับ) กว่าจะมาถึงห้องก็ค่ำล่ะ แต่แล้วมันก็ผ่านมาได้ด้วย...A.......แบบไม่คาดคิด

ส่วนคลินิกที่สาม..รพ.นพรัตน รพ.นี้ออกจะไกลนิดหน่อยถึงไกลมากก แต่ก็ยังดีหน่อยที่มีรถมหาลัยไปส่ง คลินืกนี้ได้ฝึกสองระบบหลัก คือออร์โธ กับเชส แล้วก็มีเคสเด็ก กับนิวโรบางนิดหน่อย คลืนิกนี้เราได้ CI ใจดีมากอีกล่ะ ชื่อพี่แอน วรางคณา บุญช่วย นอกจากจะใจดีแล้ว อ.ของเรายังสวยอีก เหอๆๆ ฝึกที่นี้เรารู้สึกว่าเราได้ใช้ความรู้ของเราอย่างเต็มที่ อ.ปล่อยให้เราทำเคสได้ด้วยตัวเอง โดยที่อ.คอยให้คำปรึกษาอยู่ตลอดและคอยแนะนำเราตลอด ซึ่งทำให้เรารู้สึกดีมากๆๆ แต่คลินิกนี้ออกจะเหนื่อยนิดหน่อย เนื่องจากเราต้องเข้างานเจ็ดโมงเช้า เข้างานสายห้านาทีก็ต้องชดเชยหนึ่งชั่วโมง มันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อมากสำหรับเราเพราะเจอเหตุการณ์นี้ตั้งแต่วันแรกที่ไปฝึกงาน เจ็ดโมงเช้าเข้างานเราก็ต้องไปเดิน ward ที่แสนจะร้อนนนนนนนน กว่าจะเสร็จก็ แปดโมง แล้วก็ลงมาที่แผนก ก็มาทำเคสออร์โธ ซึ่งคนไข้ที่นี้จะน่ารักๆกันทุกคน (เพราะมีขนมมาฝากทุกวัน เหอๆๆ เห็นแก่กินน่ะเรา) ทำเสร็จสืบแอดโมงครึ่งเราก็ได้พักกินข้าว เริ่มงานอีกทีก็บ่ายโมง แล้วก็เลิกงานบ่ายสาม ฝึกงานที่นี้นอกจากจะได้ใช้ความรู้ของเรายังเต็มที่แล้ว เรายังได้พบเพื่อนใหม่ที่น่ารักมากๆๆด้วย เป็น นศก. จากมศว คือ เมย์ ซู่ และก็มานิต (เจอกานครั้งแรกก็ยกมือไว้มานิดล่ะคิดว่าทามงานแล้ว เหอๆๆ) พวกเราทั้งเด็กรังสิตกะมศว เมาท์กานทั้งวัน ว่างไม่ได้ จนอ.ต้องจับแยก เพราะไม่งั้นมันจะเมาท์กัน เนื่องจากมีเด็กที่อื่นมาฝึกด้วยมันก็ทำให้เกินการแลกเปลี่ยนตวามรู้กัน มีบางเรื่องที่เหมือนกาน บางเรื่องไม่เหมือนกาน ทำให้มีการโต้แย้งเรืองวิชาการกันอย่างถึงพริกถึงขิง ต่างคนต่างหาหนังสือของตัวเองมาอ้างกับอาจารย์ แต่สุดท้ายเด็กรังสิตก็ถูกเสมอ ฮ่ะๆๆไม่ใช่เพราะเก่งน่ะ แต่อ.เป็นศิษย์เก่ารังสิต เหอๆๆๆ ยังมีอีกอย่างที่นี้ที่ทำให้เราต้องมีเรื่องกันกับพี่เนตรพีทีที่ รพ. สาเหตมาจากการแย่งกันทำเคสผู้กองสุดหล่อ เหอๆ แต่พี่เนตรก็สู้เราไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เราจะได้ทำเคสนี้ ขอบอกว่าน่ารักมากกกกกกกก แต่ก็สนุกดี นอกจากพี่แอนแล้วที่รพ.นี้ อ.ทุกคนน่ารักและใจดีมากๆๆ ไม่ว่าจะเป็น พี่ติ๊กหัวหน้าแผนก (ต้นตระกูลสายรหัสเราเอง) พี่ผึ้ง พี่ปุ่ม พี่กุ๊กไก่ พี่เนตร และก็พี่เนม ทุกคนน่ารักมากกก โดยเฉพาะพี่ปุ่มสุดสวย เจอกานเมื่อไรไม่ได้ต้องเมาท์เรื่องผู้ชาย เหอๆๆ.. ไม่ช่ายแค่พีทีน่ะที่น่ารัก ผู้ช่วยที่นี้ก็น่ารักเหมือนกัน กัดกาบเราทุกวันนนนนนนนน โดยเฉพาะเจ้มิ้นท์ (CI หมายเลข 2) เจอกานไม่ได้ต้องกัดกานตลอด พี่กุ้งหยุด(กิน)ไม่ได้ขาดใจ พี่หนุ่ม เอาขนมมาขายแล้วก็บังคับเราไปซื้อทุกวัน พี่กิ่งมาดคุณหมอแต่เข้างานเก้าโมงทุกวัน พี่อ้อกับชายา แป๊ปๆชิ่ง (อ.เผลอเมือไรต้องชิ่งหนีงานทุกที) แต่มันก็สนุกดี..ไปรพ.นี้ได้ลูกชายกลับมาด้วย เจ้าอ้วน (ด.ช.บุญสูง บัวศรี) เด็กน้อยน่าสงสารคลอดมาแปดเดือนละยังไม่ได้กลับบ้านเลย admit ตั้งแต่เกิด เนื่องจากดูดไม่ได้ สำลักเสมหะ ยกแขนไมได้เพราะหมอทำคลอดแล้วพลาดต้องมากระตุ้นไฟทุกวัน เจ้าอ้วนมันน่ารักเคาะปอดยังไงมานก็ไม่ร้อง กระตุ้นไฟก็ไม่ร้อง จะร้องเฉพาะตอน suction เฮ้ออคิดถึงเจ้าอ้วนว่ะ ตอนนี้กลับบ้านได้แล้วหวังว่าคงไม่ต้องมา admit อีกน่ะ.. ส่วนเกรดคลินิกนี้ยังไม่ออกไม่รู้ว่าจะได้เกรดไร.

คลินิกที่สี่ รพ.อยุธยา คลืนิกนี้ยังไม่ได้ไปเลย จะไปวันที่หกเดือนมิถุนายนนี้ ไม่รู้ว่าจะเจอไรบ้าง ถ้าเจอไรสนุกๆเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังล่ะกานนนนนนนนนนนนนน


เฉียดตายเรื่องนี้นึกถึงทีไร “เสียวสันหลัง”ทุกครั้ง ผมรอดตายมาได้เพราะยังมีคนที่รักใคร่และห่วงใยอยู่ มิฉะนั้นแม้แต่ชื่อของผมก็คงไม่เหลือให้ใครจดจำ ผมลองทบทวนเหตุการณ์ดูที่ได้เสี่ยงกระทำไปเช่นนั้นเพราะไม่รู้“ตื้นลึก”ว่าเรื่องเป็นไปเป็นมาอย่างไร ทำให้คิดถึงผู้บริสุทธิ์หลายคนที่ต้องจบชีวิตลงเพราะติดสอยห้อยตามผู้อื่นไปแล้วโดนลูกหลง ญาติพี่น้องโศรกเศร้าร่ำไห้ยืนยันว่า “ลูกฉัน” “ผัวฉัน”เป็นคนดีทำมาหากินสุจริต แต่ก็ไม่สามารถจะต่อกรกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้เพราะคนของเราไปกับ “โจร” คนดีก็พลอยเป็นคนเสียไปโดยปริยาย บทความนี้พอจะเตือนสติท่านผู้อ่านให้ระวังบุตรหลานหรือคนใกล้ชิด จะไปไหนกับใครที่ใดพิจารณาให้รอบ คนที่ไปด้วยมี “ชนัก”ติดหลัง หรือที่ภาษานักเลงว่า “มีโจทก์”อยู่หรือไม่ มิฉนั้นคนที่เรารักจะพลอยติดร่างแหไปอย่างไม่สามารถจะช่วยเหลือเยียวยาได้ เรื่องนี้ผมเฉียดตายจริงๆครับ
ต้นปี ๒๕๑๐ ผมเพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ หลังจากฝึกงานสืบสวนสอบสวนจากนครบาลแล้วผมก็ได้รับการแต่งตั้งไปประจำอยู่ที่ สภ.อ.เมืองนครปฐม ที่จังหวัดนี้ในสมัยนั้นโจรเยอะมาก ได้แก่พวกปล้นทรัพย์,ชิงทรัพย์,ลักทรัพย์รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ลักรถยนต์แล้วเรียกเอาค่าไถ่ จับตัวคนไปเรียกค่าไถ่บ้าง คดีอุกฉกรรจ์เกิดขึ้นมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศ มือปราบถูกคัดเลือกตัวให้ไปปราบโจรที่นั่น ตรวจสอบชื่อผู้ไปดำรงตำแหน่งผู้บังกองหรือผู้กำกับการตำรวจจังหวัดสมัยนั้นก็พอจะเห็นได้ว่า “มือฆ่า”ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะเอาไม่อยู่ โจรจะเหิมเกริมคนสุจริต,คนทำมาหากินจะอยู่ไม่ได้ เมื่อได้หัวหน้าหน่วยเป็นมือปราบแล้วก็ต้องสรรหา “มือ”หรือ “ลูกทีม”ที่เป็นงานไว้ใช้ มิฉะนั้นรบกับโจรไม่ชนะ
ยกตัวอย่าง ในสมัยนั้นมีคดีลักรถยนต์บรรทุกสิบล้อเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ ส่วนมากจะเป็นรถยนต์ที่จอดริมถนนบ้าง จอดในปั๊มน้ำมันบ้าง คนขับรถลงไปรับประทานอาหารหรือไปปัสสาวะ เพียงห้านาทีสิบนาทีกลับมาที่รถปรากฏว่ารถหาย บางคดีมีเด็กท้ายรถนั่งนอนเฝ้ารถอยู่เด็กท้ายรถก็ถูกจับตัวไปด้วย บางครั้งเด็กท้ายรถถูกยิงทิ้งเป็นศพอยู่ข้างทาง หรือไม่ก็ถูกจับมัดมือมัดเท้ามัดปากทิ้งไว้ในป่าข้างถนน ทั้งรถบรรทุกเปล่า,รถบรรทุกมีสินค้าโดนหมด การสืบสวนตามหารถที่ถูกโจรกรรมไม่พบ แต่มีบุคคลคนหนึ่งเป็นลูกหลาน “โจรใหญ่”นครปฐมที่เคยถูกตัดหัวเสียบประจานที่หน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ตั้งตัวเป็นนักเจรจาเสียเงิน “ไถ่รถ” ท่านรู้สึกอย่างไรครับ รถถูกโจรกรรมเจ้าของรถไปพึ่งตำรวจๆช่วยอะไรไม่ได้ แต่พอไปใช้บริการของบุคคลผู้นี้ได้รถคืนแต่ต้องเสียเงินเป็นค่าแลกเปลี่ยน รถบรรทุกคันหนึ่งๆราคาค่าไถ่สมัยนั้นคันละ ๓๐,๐๐๐.-บาทถึง ๕๐,๐๐๐.-บาท ตำรวจจับคนร้ายไม่ได้ทำให้เกิดช่องทางทำมาหากินของเหล่าโจร จึงจำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลม ก็คือเด็ดหัวคนรับจ้างไถ่ถอนเสีย จากนั้นคดีลักรถเรียกค่าไถ่ก็เงียบหายไป ส่วนจะเด็ดหัวกันยังไงอย่าทราบเลย
ลูกน้องหรือทีมงานสำคัญที่สุด การคัดเลือกคนต้องดู “ใจ”เป็นสำคัญ ใจต้องเหี้ยมอำมหิต พูดง่ายๆคนที่ไม่เคยฆ่าคนมาเลยในชีวิตไม่สามารถจะไปฆ่าใครได้นอกจากบันดาลโทสะ วิธีดูใจว่าเหี้ยมแค่ไหนทดลองให้เชือดสัตว์เล็กก่อน เช่นเชือดเป็ด, เชือดไก่ ต่อไปก็ให้เชือดสัตว์ใหญ่เช่นวัว,ควาย ขั้นตอนต่อไปให้ฆ่าสิ่งที่มีความผูกพันทางจิตใจ เช่นสัตว์เลี้ยงที่ตนรัก แมว,หมาที่เลี้ยงไว้ ต่อไปก็ลองกับคนก็พวกโจรห้าร้อยก่อน คดี “วิสามัญฆาตรกรรม”ปั้นนักฆ่าได้อย่างดีที่สุด หัวหน้าชุดจะเป็นจัดคิวว่างานไหนใครเป็นคนลงมือ เชื่อไหมถ้าเป็นงานแรกรับรองว่ามือ “วิสามัญฆาตรกรรม”ต้องมีการอาเจียน,หน้าซีดเผือด,มือเท้าเย็น,อ่อนเพลียไม่มีแรง,จะเป็นลม รับรองเป็นอย่างนี้ทุกคน แต่พอทำไปสัก ๒-๓ รายรับรองว่าผีเข้าสิง เห็นใครไม่ถูกอารมณ์นิดหน่อยจะฆ่าลูกเดียว ที่ผมกล่าวมานี้เรื่องจริงนะครับ ไม่นำมาบอกกล่าวก็จะไม่รู้ ครั้นบอกละเอียดไปก็จะเกลียดขี้หน้าผมอีก จึงขอเตือนในตอนนี้ว่าถ้าท่านไม่พร้อมอย่าไปต่อปากต่อคำหรือต่อกรกับพวกที่มีอาวุธหรือใช้อาวุธเป็นหรือพวกนักฆ่าเลยครับ มันไม่คุ้ม คติของพวกนักฆ่า “เป็นความกับผีดีกว่าสู้ความกับคน” ตอนผมอยู่นครปฐมมีลูกน้องตัวดังๆเช่น จ่าทูล,จ่าแดง,จ่าเศษ,จ่าชลิตและอีกหลายคน แต่ละคนมีประกาศนียบัตรรับประกัน ใจเหี้ยม มือนิ่ง ปากปิดสนิท ทำงานไม่เคยพลาด ผมอยู่นครปฐม ๕ ปีเอาพวกโจรลงไปเยอะ จากนั้นผมก็ย้ายกลับเข้าไปอยู่นครบาล งานในนครบาลก็ใช่ย่อยคดีอุกฉกรรจ์(คดีปล้น คดีฆ่า)ไม่น้อยไปกว่านครปฐม ผมมัวยุ่งอยู่กับงานปราบปรามใน กทม.ไม่ค่อยได้สนใจคดีต่างจังหวัด แต่มีคดีฆ่าอยู่คดีหนึ่งที่จังหวัดนครปฐมเป็นข่าวดังมาก ผู้ตายเป็นถึงนายกเทศมนตรี ผู้ที่ทำการสืบสวนสอบสวนก็คืออธิบดีกรมตำรวจมือปราบในสมัยนั้น ท่านคือ พลตำรวจเอกมนต์ชัย พันธ์คงชื่น หนังสือพิมพ์ลงข่าวต่อเนื่องพาดหัวทุกวัน ผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยอันดับหนึ่งคือ “จ่าทูล”และเป็นเหตุให้จ่าทูลถูกย้ายออกนอกพื้นที่ ขณะนั้นผมดำรงตำแหน่งเป็นสารวัตรอยู่ที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลใต้ จ่าทูลมีบ้านพักอยู่ในกรุงเทพส่วนจะพักอยู่ตรงไหนยังไงจ่าทูลไม่ให้ใครรู้ วันหนึ่งเวลากลางวันจ่าทูลไปหาผมที่ๆทำงาน ผมสอบถามเรื่องคดีฆ่านายกเทศมนตรีที่นครปฐม ก็แน่นอนเรื่องอะไรจะบอกความจริง เท่าที่จ่าทูลเล่าให้ฟังก็เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ได้ถูกสร้างขึ้น คือโยน “ขี้”ไปให้ “ไอ้แห้ง”หรือ “บุษกร”มือปืนรับจ้างเพชรบุรี จ่าทูลกำลังติดตาม “วิสามัญ”ไอ้แห้งเพื่อปิดคดี แต่อธิบดีมนต์ชัยไม่เชื่อจึงย้ายจ่าทูลให้พ้นนครปฐมและไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับคดีที่นายกเทศมนตรีถูกฆ่า จ่าทูลเล่าให้ฟังว่าเขาอยู่นครปฐมไม่ได้เพราะมีอยู่วันหนึ่งเขาถูกลอบยิงด้วยอาวุธปืน เอ็ม ๑๖ จ่าทูลรอดตายเพราะเป็นคนระวังตัวและชั่งสังเกต จ่าทูลเล่าว่าในวันนั้นเขาเห็นรถยนต์ปิคอัพแปลกหน้าแล่นผ่านหน้าบ้าน ที่กระบะท้ายรถดังกล่าวมีชายฉกรรจ์นั่งอยู่สองคน หนึ่งในจำนวนสองคนเป็น “มือฆ่า”จากราชบุรี (ใครเป็นมือฆ่า พวกนักฆ่ารู้ๆกันอยู่) เมื่อรถปิคอัพขับผ่านบ้านจ่าทูลไปสักพักก็วกกลับมาอีก บ้านจ่าทูลอยู่ติดถนน ขณะที่รถปิคอัพผ่านหน้าบ้านจ่าทูลสังเกตเห็นอาการคนนั่งที่กระบะท้าย รู้ทันทีว่าโดนยิงแน่ ขณะนั้นจ่าทูลอยู่กับลูกเมียและมีผู้ใหญ่บ้านผู้หนึ่งนั่งคุยอยู่ด้วย จ่าทูลตระโกนด้วยเสียงดัง “หมอบ” จ่าทูลฝึกลูกเมียมาดี ทุกคนพร้อมจ่าทูลนอนหมอบราบติดพื้น แต่สงสารผู้ใหญ่บ้านไม่เคยผ่านการฝึกวิชาทหารมาก่อน ไม่รู้เรื่องมัวแต่ยืนงงๆ เลยโดนกระสุน เอ็ม ๑๖ พรุนไปทั้งตัวขาดใจตายทันที จ่าทูลรู้ว่าเป็นฝีมือตำรวจด้วยกันจึงไปร้องเรียนกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับตำรวจที่จ่าทูลจำได้ ผู้ที่ถูกกล่าวโทษว่าพัวพันฆ่าผู้ใหญ่บ้านก็เตรียมการมาดี มีหลักฐานที่อยู่อ้างอิง ชนิดเสือพบสิงห์เอาอะไรกันไม่ได้ จ่าทูลเกณฑ์สมัครพรรคพวกแบกศพผู้ใหญ่บ้านแห่รอบองค์พระปฐมเจดีย์ ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์เป็นข่าวใหญ่ จนผู้บังคับบัญชาระดับสูงรับว่าจะทำการสอบสวนให้ เพราะภัยมืดกำลังมาถึงตัวจ่าทูลจึงต้องหลบเข้ากรุงเทพ จ่าทูลบอกกับผมว่าเมื่อเขาจะเดินทางไปที่ใดก็ตามมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนรถ เพื่อไม่ให้ฝ่ายที่มุ่งสังหารเขาจำได้ และรถยนต์ของผมก็ถูกกำหนดเป็นพาหนะคันหนึ่งของจ่าทูล ผมใช้รถยนต์เก๋งวอลโวติดฟิล์มกรองแสงดำมืดจ่าทูลชอบมาก ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะจ่าทูลเป็นลูกน้องเก่า ประกอบกับตอนนั้นยังหนุ่มแน่นเรื่องยิงกันไม่กลัว เวลาเรานั่งรถเดินทางไปไหนก็ตามอาวุธปืนจะวางข้างกายในลักษณะพร้อมยิงเสมอ
วันหนึ่งจ่าทูลไปหาผมที่ๆทำงานบอกให้ผมช่วยขับรถพาไปให้ปากคำที่กองกำกับการนครปฐม พนักงานสอบสวนนัดไว้เวลาบ่าย ๒ โมง ผมดีใจที่จะกลับไปเยี่ยมถิ่นเก่าจึงได้รับจ่าทูลนั่งคู่ไปด้านหน้าผมเป็นผู้ขับรถ ไปถึงนครปฐมก่อนเวลานัดเล็กน้อย ผมแปลกใจว่าทำไมตำรวจนครปฐมให้เกียรติผมมากจัดที่ให้จอดรถด้านหน้าอาคารสถานที่ทำการ ผมลงจากรถไปทักทายลูกน้องเก่า ส่วนจ่าทูลขึ้นไปพบผู้สอบสวนซึ่งเป็นผู้กำกับการตำรวจจังหวัด ท่านผู้นี้ก็เป็นมือปราบระดับพระกาฬทีเดียว ท่านคือ “พ.ต.อ.โสภณ สะวิคามิน”(ยศตำแหน่งในขณะนั้น) สักพักใหญ่ๆจ่าทูลกลับมาหาผมบอกว่าผู้กำกับไม่อยู่ ผมลองให้ตำรวจลูกน้องติดตามหาผู้กำกับเพราะไม่อยากให้เสียเวลาต้องกลับมาให้สอบอีก ลูกน้องเก่ารายงานว่าตามไม่พบ เราทั้งสองจึงต้องเดินทางกลับกรุงเทพ ผมนึกตำหนิอยู่ในใจว่าเป็นผู้ใหญ่ระดับนี้แล้วไม่น่าผิดนัด ผมกับจ่าทูลกลับกรุงเทพแล้วก็แยกกัน ไม่ได้พบกันอีกเลย จนกระทั่งประมาณ ๑ เดือนต่อมาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ลงข่าวพาดหัว จ่าทูลถูกสังหารด้วยอาวุธปืน เอ็ม ๑๖ เสียชีวิตขณะกำลังขับขี่รถ เหตุเกิดที่ถนนเพชรเกษม ต.ธรรมศาลา อ.เมือง จ.นครปฐม เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. ผมรีบเดินทางไปสอบถามข่าวคราวจากภรรยาจ่าทูลได้ความว่า พนักงานสอบสวนนัดจ่าทูลไปสอบสวนที่กองกำกับการจังหวัดนครปฐมเมื่อตอนกลางวัน สอบสวนเสร็จจ่าทูลก็เดินทางกลับกรุงเทพเมื่อเวลาใกล้ห้าโมงเย็น จ่าทูลขับรถไปแต่ผู้เดียวแล้วถูกกลุ่มมือปืนที่นั่งมาในกระบะรถบรรทุกสิบล้อมีประมาณ ๓-๔ คนระดมยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม ๑๖ จ่าทูลโดนยิงขณะที่รถบรรทุกมือปืนตีขนาบขึ้นทางด้านขวา โดยที่มีรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งขับบล็อกอยู่ข้างหน้า เป็นการจัดฉากฆ่าชนิดปิดประตูตีแมวทีเดียว ผมไปดูสภาพรถยนต์ของจ่าทูลซึ่งเป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าโคโรลล่า ถูกกระสุนปืนเอ็ม ๑๖ พรุนไปทั้งคันไม่ต่ำกว่า ๕๐ รู ผมยังนึกว่าจ่าทูลไม่น่าอายุสั้นเมื่อเดือนก่อนเรายังเดินทางไปด้วยกันอยู่เลย (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเฉียดตาย)
หลังจากนั้นอีกหลายปีจนผมลืมเรื่องจ่าทูลไปแล้ว ผมได้พบกับ “เสี่ยน้ำ” อดีตเจ้าของโรงน้ำแข็งที่ต้นสำโรง อำเภอเมืองนครปฐม เสี่ยน้ำเป็นผู้กว้างขวาง เป็นที่รู้จักกันดีในวงการตำรวจและบรรดานักเลง,มือปืน ระยะหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นกำนันตำบลต้นสำโรงและหันไปเอาดีทางสร้างภาพยนตร์ กำนันน้ำกับผมรู้จักกันดีตั้งแต่ครั้งที่ผมรับราชการอยู่ที่นครปฐม กำนันดีใจที่ได้พบผมบอกว่า “จำได้ไหมครั้งที่ผมเดินทางไปนครปฐมกับจ่าทูล” ผมพยักหน้ารับจำได้เพราะเป็นครั้งเดียวในชีวิต กำนันน้ำเล่าต่อ “ผมตกใจแทบแย่เมื่อฟังวิทยุรู้ว่าสารวัตรไปด้วย”(กำนันน้ำเรียกผมว่า “สารวัตร”) “ผมรีบบึ่งมอเตอร์ไชด์แทบแย่(สมัยนั้นต้องใช้รถมอเตอร์ไซด์ในการติดต่อ โทรศัพท์มือถือไม่มี) ผมยอมให้ใครมาทำสารวัตรไม่ได้เด็ดขาด” เพียงแค่นี้ผมก็เข้าใจเรื่องราว ไม่ต้องซักไซ้อะไรมาก จ่าทูลถูกกำหนดให้ตายตั้งแต่วันเดินทางไปกับผม นึกถึงแล้วขนหัวลุก ถ้าเราไม่มีคุณค่าความดีอยู่บ้างคงถูกเหมาผสมปะเสไปกับจ่าทูล และก็คงตายฟรีเพราะคดีนี้ไม่ทราบตัวคนร้ายอยู่แล้ว ผมพูดอะไรไม่ออกมีก้อนติดอยู่ในลำคอได้แต่กล่าว “ขอบคุณ ๆกำนันน้ำ” เป็นคำขอบคุณที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ และทุกวันนี้ผมก็ยังนึกถึงกำนันน้ำอยู่เสมอที่ทำให้ผมเฉียดตาย

มันคงเกิดขึ้นมาเพราะหลายอย่าง...ถ้าตอนนี้ก็คงที่ฝึกงาน แม้มันจะเหลืออีกแค่ไม่กี่วันเเล้วแต่เราก็มักเอาเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจ เลิกไม่ได้สักที
วันก่อน เราไปทำสกู๊ปข่าวเรื่องกิจกรรมนักศึกษามา ปรากฎว่างานนั้นเด็กจุฬาก็เข้าเเข่งด้วย เราก็ไปทำงานนั้นซึ่งทีมจุฬาฯ ชนะ พี่คนที่ฝึกงานบอกเราว่า "ใช่สิ มันเเน่นี่นาทีมนั้นน่ะ ทุนมันเยอะนี่นะ ที่จริงอีกทีมเก่งกว่าด้วยซ้ำ" ....แล้ววันนี้พี่เขาก็เพิ่งรู้ว่าเราเรียนจุฬา ฯ แล้วเราก็รู้สึกว่าเขาแปลกๆไป
ตกบ่ายเราเข้าประชุมบรีฟงานของบก.หนังสือพิมพ์ .... เรื่องการยุบพรรค กฎหมายรธน.ใหม่อะไรเทือกนั้น พี่โต๊ะเราพูดว่า ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำไมโต๊ะที่ไม่เกี่ยวการเมืองต้องเข้าฟังด้วย เขาหันมาถามเรา "พอจะเข้าใจบ้างไหมเราน่ะ ?" เราบอกพี่บก.ข่าวโต๊ะเราว่า เราเข้าใจที่บก.เล่มพูด...เพราะบังเอิญเราเรียนรัฐศาสตร์ และแล้วพี่บก.โต๊ะก็เพิ่งรู้ว่าเราเรียนรัฐศาสตร์ แล้วเขาก็พูดว่า
"เก่งหลายอย่างนี่นะเราน่ะ ทำไมมาทำหนังสือพิมพ์ล่ะ ? "
เราตอบว่า เพราะเราอยากรู้ว่าเราชอบเขียนหนังสือไหม ก็เท่านั้น.... เราไม่ได้เก่งกาจหรืออะไรเลยแค่เราพอจะรู้บ้าง ก็เท่านั้น
ตกเย็น...เราส่งงานเขียนให้พี่คนหนึ่ง เป็นคอลัมน์เอาของที่ห้างต่างๆ มันส่งรูปมาให้ลงแนะนำ เราเขียนแนะนำการตกเเต่งบ้านแบบ Minimalism พี่เขาถามเราว่าคืออะไร พี่บก.โต๊ะก็พูดแทรกขึ้นมาว่า "ใครเขียนเรื่องนี้หรือ แน่ใจนะว่าถูก"....เราบอกว่าเราเขียน แล้วเป็นประมาณไหนเอามาให้เขาดูก่อน เราเอาไปให้พี่เขาดู เขาก็ไม่เห็นจะพูดอะไร แล้วทุกอย่างก็เงียบไปเฉยๆ
เราก็เเค่พอจะรู้บ้าง เพราะเราเคยอ่านหนังสือมาเล็กๆน้อยๆ เลยเอามาประยุกต์เเละลองเขียน ...ก็เท่านั้น
จากนั้นพี่บก.โต๊ะข่าวการเมืองก็พูดขึ้นลอยๆ ว่า...ใครพอจะติดต่ออาจารย์ พิชญ์ คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯได้บ้าง เราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เพราะเราอยบู่กันคนละโต๊ะข่าว ไม่รู้มันอาจจะดูน่าเกลียดอีกถ้าเราจะบอกว่าเราหาได้เพราะเราก็ทำงานโต๊ะเราอยู่
แล้วพี่เขาก็เดินมาถามเรา ...เรียนจุฬาฯใช่ไหม หาเบอร์โทรให้พี่หน่อยได้ไหม
จากนั้น เราโทรไปหาพี่บิว...พี่ทีเอ จานพิด สองนาทีเราก็ได้เบอร์มาพร้อมกับตารางงานอาจารย์ แล้วพี่ก็ถามว่า ทำไมได้เร็วจัง...เราเลยบอกว่า...บังเอิญเป็นอาจารย์ที่คณะค่ะ..... อ้าวหร๋อ ? แล้วทำไมมาฝึกงานหนังสือพิมพ์......
คำถามถามครั้งที่ 17 ในระยะเวลา 53 วันจากผู้คนต่างๆกัน แล้วเราก็ตอบไป format เดิมเหมือนที่เคยตอบทุกที ไม่เหนื่อยหรอกนะที่จะตอบ แต่ งง ว่าทำไมมันเป็นเรื่องผิดแปลกมากจนทุกคนต้องถามเลยหรือ ?
เหมือนเราจะรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้สักเท่าไหร่ สายตาบางคนก็ไม่ค่อยจะทำให้เรารู้สึกดี
เหมือนเราวันนี้จะอ่อนไหวเกินไป ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งที่ไม่เคยจะใส่ใจ แต่วันนี้เรากลับไม่ใช่ เก็บเอามาคิดเป็นเรื่อง เหมือนวันนี้จะอ่อนไหวเกินไป ใช่ เหมือนวันนี้จะอ่อนไหวเกินไปเสียเเล้ว

No comments: